วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

วิเคราะห์การออกแบบของสื่อสิ่งพิมพ์ที่ชื่นชอบ "โปสเตอร์หนังวัยรุ่นพันล้าน"



หลาย ๆ คนคงจะเคยเห็นโปสเตอร์ภาพยนตร์หนังเรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน เรื่องนี้กันมาพอผ่าน ๆ ตาบ้างแล้วในช่วงของเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของบริษัท จีทีเอช บริษัททำหนังยักษ์ใหญ่ค่ายหนึ่งของเมืองไทยที่ทำให้หนังวัยรุ่นติดตลาดมาแล้วหลายต่อหลายเรื่องด้วยกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งภาพยนตร์เรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน นี้ก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัท จีทีเอช ที่ทำให้วัยรุ่นหลาย ๆ คนแหกันไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้กันอย่างล้นหลาม และนี่ก็อาจจะเป็นผลตอบรับที่น่ายินดีจากการประชาสัมพันธ์ที่ดีในหลากหลายรูปแบบของทางจีทีเอช ที่ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการประชาสัมพันธ์ทางวิทยุ โทรทัศน์ ทางอินเตอร์เน็ต Facebook หรือ Twitter และยังรวมไปถึงโปสเตอร์หนังประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์นี้อีกด้วย

                                แผ่นป้ายโฆษณา หรือ โปสเตอร์ (
Poster) เป็นสื่อที่มีบทบาทอย่างมากในการประชาสัมพันธ์เพราะสื่อประเภทนี้สามารถเผยแพร่ได้สะดวกและกว้างขวาง สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกพื้นที่ สื่อสารกับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ทุกระดับการศึกษา มีความยืดหยุ่นในตัวของสื่อได้เป็นอย่างดี ในด้านการออกแบบ สามารถสร้างสรรค์รูปแบบภาพประกอบ ตลอดจนแนวทางการออกแบบกราฟิกได้อย่างอิสระและสวยงาม เร้าใจ หรือการโน้มน้าวความรู้สึกได้เป็นอย่างดี

พัฒนาการทางการออกแบบแผ่นป้ายโฆษณาเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้ทิศทางการสร้างสรรค์มีความโดดเด่น เร้าใจได้มากยิ่งขึ้น ขอบเขตของการจัดหรือการออกแบบสร้างสรรค์ไม่มีจำกัด การวางแผนการผลิตจึงเป็นไปอย่างคล่องตัว แนวคิดใหม่ ๆ เกี่ยวกับการผลิตจึงเน้นเรื่องความแปลกตา สวยงามมากยิ่งขึ้น บางครั้งรูปแบบที่ปรากฏอาจมีเพียงภาพ คำหรือข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ลักษณะที่ท้าทายเช่นนี้เอง ทำให้ผู้ออกแบบมีความเพลิดเพลินกับการคิด และการกำหนดแบบงานใหม่ ๆ เสมอ แต่ไม่ว่าจะกำหนดให้แปลกอย่างไร หรือพลิกแพลงแบบไหน การออกแบบก็ยังคงต้องคำนึงถึงหลักพื้นฐานที่จะให้สื่อนั้นๆแสดงบทบาทออกมาอย่างเต็มที่ด้วย
                                
                              และก็คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมื่อได้เห็นโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน นี้แล้ว ก็ทำให้ดิฉันรู้สึกอยากที่จะไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะยังไม่ได้ชมตัวอย่างของภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อนเลยก็ตาม ส่วนหนึ่งคงอาจจะเป็นเพราะเป็นหนังที่เกี่ยวกับชีวิตของวัยรุ่น ซึ่งตรงกับวัยของดิฉันก็เป็นได้ และเอาละคะ นอกเรื่องกันมาเยอะแล้ว คราวนี้เรามาช่วยกันหาคำตอบดีกว่าว่า เพราะอะไรถึงทำให้โปสเตอร์ภาพยนตร์หนังเรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน นี้เป็นที่น่าสนใจ สามารถสะดุดตา และสะดุดใจของดิฉันได้ถึงเพียงนี้
                              
                               โดยในการออกแบบโปสเตอร์นั้น มีส่วนประกอบที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือในเรื่องของภาพ และข้อความ นอกเหนือจากการเลือกภาพ และการคิดข้อความให้น่าสนใจแล้ว การออกแบบภาพ และการกำหนดตัวอักษรก็เป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนทำให้โปสเตอร์เกิดความน่าสนใจ
                                
                            เริ่มกันที่ส่วนของภาพก่อนเลย ภาพยนตร์เรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน นี้เป็นเรื่องราวจากชีวิตจริงของเจ้าของธุรกิจสาหร่ายเถ้าแก่น้อยที่พลิกชีวิตตนเองจากเด็กติดเกมออนไลน์จนกลายมาเป็นวัยรุ่นนักธุรกิจพันล้านในวันนี้ ซึ่งองค์ประกอบของภาพโดยรวมที่สื่อออกมาในแต่ละโปสเตอร์ของหนังนั้น ก็สามารถสื่อสาร และแสดงออกมาได้ดีถึงเรื่องราวในหนัง ไม่ว่าจะในส่วนของภาพนักแสดงที่เป็นวัยรุ่นแต่กลับใส่สูทผูกไท และมีลักษณะท่าทางอยู่ในมาดของนักธุรกิจ แถมในมือยังถือทั้งเงินและสาหร่ายอยู่อีกด้วย เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผู้พบเห็นสามารถที่จะรู้ได้ถึงสาระสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว รวมถึงเทคนิคในการสร้างสรรค์ภาพก็ทำออกมาได้ดี สวยงามและคมชัด ในเรื่องของโครงสีในภาพ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเน้นออกไปทางสีเขียว ซึ่งเป็นสีของสาหร่าย เสียเป็นส่วนใหญ่แต่ก็มีความสมดุลสีกันในภาพไม่มากหรือน้อยจนเกินไป การกำหนดขนาดและตำแหน่งของภาพถือว่าเหมาะสม และเด่นชัด  เนื้อหาของภาพสอดคล้องกับข้อความได้เป็นอย่างดี โดยที่ภาพไม่ไปปิดทับข้อความ ทำให้ชวนน่ามอง และสร้างจุดสนใจได้ดี อีก
ทั้งภาพของตัวนักแสดงหลักวางไว้อยู่ตรงกลาง ซึ่งถือว่าเป็นบริเวณจุดศูนย์กลางของความสนใจในการมอง (Optical Center)

ในด้านของตัวอักษรและข้อความ ชื่อเรื่องของภาพยนตร์ Top Secret วัยรุ่นพันล้าน มีการออกแบบตัวอักษรได้อย่างสวยงาม แปลกตา และมีขนาดใหญ่ชัดเจน สอดคล้องกับลักษณะของข้อความ และรูปแบบของตัวอักษรยังเป็นรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนอีกด้วย ทำให้โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ด้วยเทคนิคการออกแบบ และการตกแต่งตัวอักษรที่สวยงามเช่นนี้ จึงยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้พบเห็นยิ่งอยากรู้ อยากดู อยากเห็น อีกทั้งยังมีการใช้ถ้อยคำเพื่อจูงใจให้ผู้ที่มาพบเห็นมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น “ไม่มีใครเด็กเกินจะรวย” หรือ “อยากรวย อย่ารอ 20 ตุลาคม ในโรงภาพยนตร์” เป็นต้น

       

                             ทีนี้ก็รู้กันแล้วนะคะว่าเพราะอะไรกันดิฉันถึงได้ชื่นชอบการออกแบบโปสเตอร์ของภาพยนตร์เรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน เสียขนาดนี้ แต่ถ้ายังไม่ค่อยจะเข้าใจ เดี๋ยวดิฉันจะขอสรุป
ง่าย ๆ สั้น ๆ ให้ฟังกันอีกครั้งหนึ่งนะคะ โดยสรุปแล้วก็คือโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน นี้ถือว่าเป็นโปสเตอร์ที่มีการออกแบบที่ดี ตอบสนองจุดประสงค์ในการสื่อความหมายได้อย่างเต็มที่ มีความชัดเจนในภาพลักษณ์และข้อความที่ใช้ในการสื่อความหมายก็มีความกระจ่างชัดเจนเหมาะสมกัน ส่วนในเรื่องของรูปภาพและข้อความที่นำเสนอออกมานั้น ก็มีความสอดคล้อง สัมพันธ์ และส่งเสริมซึ่งกันและกัน สามารถเข้าใจและดึงดูดความสนใจกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีความกะทัดรัด และแสดงแนวคิดหลักเพียงอย่างเดียวที่ว่า “ไม่มีใครเด็กเกินจะรวย” นั่นเอง

http://www.facebook.com/gthchannel

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

วิเคราะห์บทบาทและอิทธิพลของสื่อสิ่งพิมพ์


"วรรณกรรม" กระจกเงาสะท้อนสังคม


                         
                     ความเป็นจริงในวรรณกรรมโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นของต่างชาติหรือของไทยเองก็ตาม อย่างหนึ่งที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ วรรณกรรมเป็นกระจกเงาที่สะท้อนภาพทางสังคม และวัฒนธรรม ตลอดจนคุณค่าต่างๆของคนในสังคมแต่ละยุคสมัย ความเป็นไปทางการเมือง ความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ ระดับการศึกษา สิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาให้เราได้เห็นจากคนอ่านและคนเขียน และวรรณกรรมยังเป็นสัญลักษณ์ที่บอกให้เราเห็นความจริงจังของคนในชาติ หรือความฟุ้งเฟ้อของกลุ่มคนในสังคม ซึ่งก็แล้วแต่ว่ากลุ่มคนสังคมใดจะใช้กระจกเงาบานไหนออกมาฉาย   ดังนั้นท่าทีและแนวโน้มของวรรณกรรมต่างๆไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือต่างชาติ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนย่อมมีอิทธิพลเกี่ยวข้องกัน และขึ้นอยู่กับผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานทางวรรณกรรมว่าจะทำวรรณกรรมให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม หรือเหยียบย่ำสังคมให้ต่ำทรามลง 
                      วรรณกรรมเป็นผลงานของมนุษย์ ดังนั้นจึงเป็นที่เก็บรวบรวมความคิด ความเป็นอยู่ และลักษณะสภาพต่างๆของมนุษย์ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไว้ด้วยกัน สังคมของผู้แต่งหนังสือมีธรรมชาติอย่างไร วรรณกรรมก็มีธรรมชาติอย่างนั้น สังคมนั้นเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการไปตามเหตุการณ์อย่างไร วรรณกรรมก็บอกถึงเหตุการณ์นั้น เช่น เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ มีผลทำให้มนุษย์ในแต่ละสังคมประพฤติปฏิบัติตนต่างกัน หรือบางครั้งก็ออกมาในรูปเดียวกัน บางครั้งก็ขัดแย้งกัน บางครั้งก็กลมกลืนกัน ผู้แต่งหนังสือที่ช่างสังเกตก็จะเลือกหาเหตุการณ์เรื่องราวจากความเป็นไปในสังคมมาผูกเป็นเรื่องขึ้น โดยตั้งจุดประสงค์ไว้ต่างๆกัน บางคนผูกเรื่องขึ้นเพื่อรายงานเหตุการณ์แต่เพียงอย่างเดียว บางคนก็ชี้ให้เห็นลักษณะที่ขัดแย้งต่างๆเพื่อเตือนสติคนในสังคม

                    วรรณกรรมเป็นภาพสะท้อนของสังคม ซึ่งการสะท้อนสังคมของวรรณกรรมไม่ใช่เป็นการสะท้อนอย่างบันทึกเหตุการณ์เหมือนเอกสารประวัติศาสตร์ แต่เป็นภาพสะท้อนประสบการณ์ของผู้เขียนและเหตุการณ์หนึ่งของสังคม วรรณกรรมจึงมีความเป็นจริงทางสังคมสอดแทรกอยู่ นักเขียนบางคนมีความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นอย่างมาก เขาจะสะท้อนความต้องการที่จะปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น วรรณกรรมของเขาชี้ให้เห็นสิ่งที่เรียกว่าอุดมการณ์ ซึ่งอาจจะเป็นอุดมการณ์ทางสังคมหรืออุดมการณ์ทางการเมืองก็ได้
 
                  ดังนั้นอิทธิพลของวรรณกรรมต่อสังคม อาจเป็นได้ทั้งในด้านอิทธิพลภายนอก เช่น การแต่งกาย หรือการกระทำตามอย่างวรรณกรรม เช่น หญิงไทยสมัยหนึ่งนิยมถักหางเปีย นุ่งกางเกงขาสั้นเหมือน " พจมาน " ในเรื่องบ้านทรายทอง หรือย้อมผมสีแดงเหมือน " จอย " ในเรื่องสลักจิต เป็นต้น และอิทธิพลทางความคิด การสร้างค่านิยม รวมทั้งความรู้สึกนึกคิด ดังเช่น หนังสือเรื่อง " The Social Contract " ของจัง จาคส์
รุสโซ ( Jean Jacques Rousseau ) พิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1762 เป็นหนังสือที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยให้แนวคิดเกี่ยวกับทฤษฏีทางรัฐศาสตร์ที่สำคัญ เรียกว่า 
" เจตนารมณ์ทั่วไป ( General Will ) " เน้นเรื่องเสรีภาพและสิทธิของมนุษยชาติ ก็คืออำนาจอธิปไตยนั่นเอง ซึ่งถือเป็นหลักการที่สำคัญยิ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตย อิทธิพลของหนังสือเล่มนี้มีส่วนก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการเรียกร้องอิสรภาพของสหรัฐอเมริกาใน ค.ศ. 1776 และการปฏิวัติในฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 - 1792 และอิทธิพลของหนังสือเล่มนี้ก็ยังคงมีอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ดังจะเห็นได้จากแนวคิดเรื่องทฤษฏีสัญญาประชาคม ( Social Contract Theory ) ซึ่งมีนักวิชาการได้นำมาอ้างอิงอยู่เสมอ หลังจากนั้นก็มีวรรณกรรมอีกหลายเล่ม ได้อิทธิพลและสนับสนุนการปกครองตามแนวคิดของรุสโซ เช่น จอห์น สจ๊วต มิลล์ ( John Stuart Mill ) นักเศรษฐศาสตร์และนักคิดชาวอังกฤษ ได้เขียนหนังสือ เรื่อง o­n Liberty โดยเน้นว่ารัฐบาลที่ดีต้องให้เสรีภาพแก่ประชาชน



                  ตัวอย่างวรรณกรรมไทยที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยของเราอย่างมากในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ วรรณกรรมเรื่อง สี่แผ่นดินของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเนื้อหาสาระของวรรณกรรมเรื่อง "สี่แผ่นดิน" นี้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงอุดมการณ์กษัตริยนิยมที่ต้องการชี้ให้ผู้อ่านเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นมีคุณค่าและคุณูปการต่อสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือแม้กระทั่งหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองไปแล้วก็ตาม สี่แผ่นดินดูจะช่วยเสริมแรงให้กับฝ่ายกษัตริยนิยมที่พยายามช่วงชิงอำนาจกับรัฐบาล และยังมีส่วนในการปูพื้นฐานทางวาทกรรมให้กับผู้มีอำนาจในยุคต่อมา ซึ่งเป็นการฟื้นฟูบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมาใหม่จนกลายเป็นสถาบันที่ทรงอิทธิพลต่อการเมืองและสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังได้มีการนำวรรณกรรมเรื่อง "สี่แผ่นดิน" นี้มาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ ละครเวที ในหลากหลายรูปแบบตามแต่ยุคสมัยมาโดยตลอด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นถึงความรัก และความหวงแหนของประชาชนชาวไทยทุกคนที่มีแต่ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ของเราเสมอมา และยังเป็นการปลูกฝังให้คนรุ่นหลังอย่างเรานั้นได้รู้ซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ของเราทุกๆพระองค์ ที่ได้ทรงปกปักรักษาประเทศชาติบ้านเมืองมาเพื่อพสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด ทำให้ประเทศไทยของเรามีเอกราชเป็นของตนเอง ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศใด ดำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นศูนย์รวมยึดเหนี่ยวจิตใจของคนทั้งชาติสืบไป และถึงแม้ว่าเหตุการณ์ทางการเมืองบางเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เพิ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นนี้อาจจะมีส่วนทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของเรานั้นสั่นคลอน แต่เราก็เชื่อว่าพลังเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทยอย่างเรานั้นจะสามารถปกป้อง และคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราให้ดำรงอยู่คู่ฟ้าเมืองไทยของเราไปได้ตลอดกาลตราบนานเท่านาน
                             ซึ่งจากที่ได้กล่าวมาในข้างต้นทั้งหมดนี้ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าวรรณกรรมนั้นมีอิทธิพลและผลกระทบต่อสังคมของเราอย่างมากมายเพียงใด วรรณกรรมสามารถเปลี่ยนแนวความคิด และอุดมการณ์ของเราได้อย่างสิ้นเชิงด้วยค่านิยมต่างๆที่มีอิทธิพลต่อสังคมของเรา อีกทั้งยังสามารถสร้างพลังอันแข็งแกร่งให้กับเราได้ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ทางความคิดของตนเองให้เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปในสังคมได้อีกด้วย  ดังนั้นการอ่านวรรณกรรมจึงอาจเป็นเหมือนกับดาบสองคม หากเราปล่อยให้อิทธิพลของวรรณกรรมเข้ามามีส่วนครอบงำความคิด และจิตใจของเรามากจนเกินไป เราอาจไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นที่เขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเราด้วยก็เป็นได้  และสิ่งนั้นนั่นแหละอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเองในที่สุด เพราะฉะนั้นวรรณกรรมจะส่งผลที่ดีต่อสังคมได้ก็ต่อเมื่อคนในสังคมรู้จักที่จะนำเอาเรื่องราวและความคิดที่ดีๆที่แฝงอยู่ในวรรณกรรมนั้นๆมาปรับปรุงและประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับสังคมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สังคมของเราอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขตลอดไป สรุปแล้วคืออิทธิพลของวรรณกรรมส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม ตลอดจนประเทศชาติ และโลกของเราอีกด้วย วรรณกรรมจึงผูกพันกับสังคมอย่างแนบแน่น และมีบทบาทที่สำคัญในการชี้นำแนวทางให้กับคนในสังคมตลอดมา