วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วิเคราะห์การออกแบบของสื่อสิ่งพิมพ์ที่ได้รับรางวัล "ปฏิทินช่อง 3 สวัสดีปีใหม่ 2011"


ปฏิทินช่อง 3 สวัสดีปีใหม่ 2011 นี้ ได้รับรางวัลชนะเลิศ เหรียญทอง ประเภทปฏิทิน จากงานประกวดสิ่งพิมพ์แห่งชาติ ครั้งที่ 6 ( 6th Thai Print Awards 2011 ) ที่ผ่านมาหมาดๆ นี้เอง งานนี้จัดขึ้นโดยสมาคมการพิมพ์ไทย เพื่อยกระดับมาตรฐานและคุณภาพงานพิมพ์ไทย โดยมีแนวคิดสนับสนุนการเพิ่มความคิดสร้างสรรค์เข้าไปกับคุณภาพ และทักษะการพิมพ์อันยอดเยี่ยม เพื่อให้งานพิมพ์ของคนไทยนั้นสามารถสร้างความแตกต่างในตัวของผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นการต่อยอดไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าสิ่งพิมพ์ของคนไทย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนการสร้างเศรษฐกิจแบบสร้างสรรค์ ตรงกับคำขวัญของงานที่ว่า เมื่อแรงบันดาลใจจากความคิดสร้างสรรค์รวมตัวกับความยอดเยี่ยมจากคุณภาพงานพิมพ์ของคนไทย ( Where Printing Creativity and Excellency Converges ) โดยหลักเกณฑ์ในการตัดสินครั้งนี้จะพิจารณาและประเมินตามคุณภาพการพิมพ์ ขั้นตอนในการผลิต ลักษณะการใช้งาน และการออกแบบเป็นตัวตัดสินผลงาน

เดิมทีปฏิทินช่อง 3 สวัสดีปีใหม่ 2011 นี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับแฟนละครช่อง 3 โดยเฉพาะ และเพื่อเป็นการขอบคุณแฟนๆ ที่ได้ให้การสนับสนุนผลงาน และรายการของทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 มาเป็นอย่างดีโดยตลอด จึงได้มีการจัดทำปฏิทินปีใหม่ขึ้นในทุกๆ ปี ทั้งแบบแขวน และแบบตั้งโต๊ะ เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำใจของผู้ชมในแต่ละปีที่ผ่านมา แต่จะด้วยเหตุผลใดที่ทำให้ปฏิทินช่อง 3 สวัสดีปีใหม่ 2011 ธรรมดาๆ เล่มนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศ เหรียญทอง จากงานประกวดสิ่งพิมพ์แห่งชาติ ครั้งที่ 6 ในปีที่ผ่านมา







อย่างแรกการจัดองค์ประกอบของภาพออกมาได้เป็นอย่างดี และมีความสมดุลกันอย่างสวยงาม แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือการออกแบบรูปแบบ(Concept) ของปฏิทินให้มีรูปลักษณ์ที่ทันสมัยสวยงาม เหมาะสมกับการใช้งาน โดยนำเอานักแสดงที่มีชื่อเสียงของทางช่อง 3 ในช่วงเวลานั้นๆ มาเป็นนายแบบ นางแบบขึ้นปกปฏิทินเพื่อส่งมอบความสุขให้กับผู้ชมในเทศกาลปีใหม่ที่จะมาถึงนี้ ซึ่งคอนเซ็ปต์ในแต่ละเดือนนั้นจะแตกต่างกันไปตามฤดูกาล เช่น เดือนเมษายน หน้าร้อน ก็จะมีตัวแทนของดารานักแสดงที่การันตีดีกรีความฮอตแบบสุดๆ อย่างณเดชน์ คูกิมิยะ, ญาญ่า อุรัสยา, มิ้น ชาลิดา และมิ้น ณัฐวรา ในชุดว่ายน้ำหลากสีสันลงเล่นน้ำในสระน้ำเพื่อดับร้อนกัน ในเดือนกันยายน ช่วงหน้าฝน ก็จะเป็น แอน ทองประสม, เคน ธีรเดช และพลอย เฌอมาลย์ ร่วมกันถือร่ม สวมเสื้อกันฝน เต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำจากสายฝน เป็นต้น ซึ่งเป็นความคิดที่ดีเลยทีเดียว เพราะนอกจากปฏิทินจะบอกวันเดือนปีแล้ว ภาพที่ออกมายังสามารถสื่อให้เห็นได้ว่าเดือนนี้อยู่ในฤดูใดอีกด้วย อีกทั้งเทคนิคในการสร้างสรรค์ภาพก็ทำออกมาได้ดี สวยงาม คมชัด เรื่องของโครงสร้างสีในภาพก็จะเน้นไปในโทนสีสันที่สดใสเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้ตรงกับความประสงค์ที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงความสุข ความสนุกสนาน ร่าเริง ต้อนรับสิ่งดีๆในวันขึ้นปีใหม่ แต่ก็มีความสมดุลสีกันอย่างเหมาะสม ไม่ตัดกันหรือกลืนกันจนเกินไป ซึ่งภาพที่ใช้มีขนาดใหญ่ เห็นเด่นชัด อยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางของกระดาษที่เป็นไปอย่างเหมาะสม ทำให้ชวนน่ามอง และสร้างจุดสนใจได้ดีเป็นอย่างยิ่ง



มาที่ตัวอักษรและข้อความ ในส่วนของหน้าปกปฏิทิน มีการออกแบบตัวอักษรได้อย่างสวยงาม ขนาดใหญ่ชัดเจน เหมาะสม สอดคล้องกับลักษณะของข้อความ และรูปแบบของตัวอักษรก็เป็นแบบที่มาตรฐาน ทันสมัย อ่านง่ายได้ใจความ ทำให้ปฏิทินเล่มนี้มีความน่าสนใจมากขึ้น ด้านในของปฏิทินก็จะบอกถึงวันเดือนปีประจำปี พ.ศ. 2554 บอกถึงวันสำคัญในแต่ละเดือน ข้างขึ้นข้างแรมในแต่ละวัน อีกทั้งยังมีการบอกวันเดือนปีไว้ถึง 3 ภาษาด้วยกัน คือ ไทย อังกฤษ จีน ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น

มาถึงในขั้นของกระบวนการผลิตหรือกระบวนการพิมพ์ปฏิทินในครั้งนี้ การผลิตปฏิทินที่ดี นอกจากจะต้องมีความรู้ เทคนิค ตลอดจนประสบการณ์ในกระบวนการผลิตสิ่งพิมพ์ปฏิทินแล้ว โรงพิมพ์ที่ดียังต้องมีความเข้าใจในด้านของศิลปะมาประกอบการทำงานในขั้นตอนต่างๆ ของการผลิตปฏิทินด้วย โดยมองปฏิทินเป็นเสมือนหนึ่งงานศิลปะที่มีจิตวิญญาณ แต่ในขณะเดียวกันก็คำนึงถึงวัตถุประสงค์ของชิ้นงานปฏิทินเป็นสำคัญ ซึ่งงานพิมพ์ปฏิทิน ถ้าจะให้งานออกมาดีมีคุณภาพมาตรฐานนั้น จะต้องดูแลรายละเอียดในทุกๆ จุด ทุก ๆ ขั้นตอนเป็นอย่างดี และในการจัดพิมพ์ปฏิทินครั้งนี้ก็ได้มีการจัดพิมพ์กับโรงพิมพ์ในเครือของสมาคมนิตยสารแห่งประเทศไทยที่มีชื่อเสียงอย่างมากในด้านของคุณภาพการพิมพ์ที่มีประสิทธิภาพ ก็ยิ่งทำให้เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับงานพิมพ์ชิ้นนี้มากขึ้นไปอีกว่าได้ผ่านขั้นตอน กระบวนการพิมพ์ที่ดีมีความชำนาญ และมีประสบการณ์อันช่ำชองในด้านของการผลิตงานพิมพ์ชิ้นนี้มาเป็นอย่างดีเยี่ยม

โดยกระดาษที่ใช้ในการพิมพ์ปกปฏิทินช่อง 3 ในครั้งนี้ คือ กระดาษอาร์ตมันอย่างดี ขนาดประมาณ 160 แกรม ซึ่งเป็นกระดาษเนื้อเดียวกับเนื้อในปฏิทินแต่จะมีความหนากว่า อีกทั้งยังมีการพิมพ์ตกแต่งผิวปกปฏิทินและเนื้อในของปฏิทินที่เป็นการพิมพ์มากกว่า 4 สี คือ แม่สี 4 สี (CMYK) และมีสีพิเศษอื่นๆ อีกเข้ามาเพิ่มด้วย โดยพิมพ์ด้วยระบบออฟเซ็ททั้งสองหน้า รวมถึงมีการเคลือบ UV เป็นพิเศษ เพื่อทำให้กระดาษคงรูป ไม่ม้วนตัวง่ายๆ และเนื้อในของปฏิทินก็ใช้เป็นกระดาษอาร์ตมันเช่นเดียวกับปกปฏิทิน แต่จะมีความหนาของกระดาษที่น้อยกว่า คือ ประมาณ 90 แกรมขึ้นไป














                   ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท และการให้ความสำคัญกับรายละเอียดของกระบวนการพิมพ์ในแต่ละทุกขั้นตอนนั้นเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการออกแบบ การวางรูปแบบ การเลือกรูป การให้สีสัน การใช้กระดาษ การใช้หมึกในการพิมพ์ ที่สำคัญที่สุด คือ ขั้นตอนของการพิมพ์ เพื่อต้องการที่จะทำให้ปฏิทินช่อง 3 สวัสดีปีใหม่ 2011 ในครั้งนี้เปรียบเสมือนกับของขวัญปีใหม่ที่ทรงคุณค่าแก่การครอบครอง มอบแทนความสุขให้กับท่านผู้ชมทุกท่านตลอดปีใหม่ 2011 ที่ผ่านมา ทำให้ดิฉันฉุกคิดว่า ผู้ที่จัดทำปฏิทินช่อง 3 สวัสดีปีใหม่ 2011 ในครั้งนี้ คงไม่ได้คาดคิดว่าผลงานของตนจะมีความโดดเด่นถึงขั้นได้รับรางวัลอันทรงเกียรติเช่นนี้มาครอบครอง เนื่องด้วยจุดประสงค์หลักของการจัดทำปฏิทินเล่มนี้ขึ้นมานั้นไม่ได้จัดทำขึ้นเพื่อรางวัลอันชูเกียรติ แต่จัดทำขึ้นมาเพื่อความสุขของผู้ชมทุกท่านเท่านั้นเอง
             
“ เมื่อแรงบันดาลใจจากความคิดสร้างสรรค์รวมตัวกับความยอดเยี่ยมจากคุณภาพงานพิมพ์ของคนไทย คำขวัญจากงานประกวดสิ่งพิมพ์แห่งชาติในครั้งนี้ ตอบโจทย์ถึงนิยามของสิ่งพิมพ์ที่ดีมีคุณภาพได้อย่างกระจ่างชัดเจน ว่าการออกแบบที่สร้างสรรค์ และสวยงามเพียงสิ่งเดียวนั้นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้สิ่งพิมพ์นั้นๆ ออกมาดีได้ แต่จำเป็นต้องอาศัยกระบวนการพิมพ์ที่มีคุณภาพ และขั้นตอนการผลิตที่มีความชำนาญ จึงจะทำให้งานพิมพ์นั้นมีประสิทธิภาพ และทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้นเป็นเท่าตัว เช่นเดียวกับ ปฏิทินช่อง 3 สวัสดีปีใหม่ 2011 ในครั้งนี้ แม้ว่าการออกแบบปฏิทินจะออกมาสมบูรณ์แบบ และสวยงามเพียงใด แต่หากขาดการพิมพ์ที่มีคุณภาพ และการผลิตที่มีความเชี่ยวชาญแล้วนั้น ปฏิทินเล่มนี้คงออกมาไม่สมบูรณ์แบบ และสวยสดงดงาม จนไปสะดุดตา สะดุดใจ คณะกรรมการการตัดสินงานประกวดสิ่งพิมพ์แห่งชาติในครั้งนี้จนได้รับรางวัลชนะเลิศ เหรียญทอง ประเภทปฏิทิน จากงานประกวดสิ่งพิมพ์แห่งชาติ ครั้งที่ 6 ( 6th Thai Print Awards 2011 ) นี้ได้เป็นแน่แท้

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

วิเคราะห์การออกแบบของสื่อสิ่งพิมพ์ที่ชื่นชอบ "โปสเตอร์หนังวัยรุ่นพันล้าน"



หลาย ๆ คนคงจะเคยเห็นโปสเตอร์ภาพยนตร์หนังเรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน เรื่องนี้กันมาพอผ่าน ๆ ตาบ้างแล้วในช่วงของเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของบริษัท จีทีเอช บริษัททำหนังยักษ์ใหญ่ค่ายหนึ่งของเมืองไทยที่ทำให้หนังวัยรุ่นติดตลาดมาแล้วหลายต่อหลายเรื่องด้วยกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งภาพยนตร์เรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน นี้ก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัท จีทีเอช ที่ทำให้วัยรุ่นหลาย ๆ คนแหกันไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้กันอย่างล้นหลาม และนี่ก็อาจจะเป็นผลตอบรับที่น่ายินดีจากการประชาสัมพันธ์ที่ดีในหลากหลายรูปแบบของทางจีทีเอช ที่ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการประชาสัมพันธ์ทางวิทยุ โทรทัศน์ ทางอินเตอร์เน็ต Facebook หรือ Twitter และยังรวมไปถึงโปสเตอร์หนังประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์นี้อีกด้วย

                                แผ่นป้ายโฆษณา หรือ โปสเตอร์ (
Poster) เป็นสื่อที่มีบทบาทอย่างมากในการประชาสัมพันธ์เพราะสื่อประเภทนี้สามารถเผยแพร่ได้สะดวกและกว้างขวาง สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ทุกพื้นที่ สื่อสารกับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ทุกระดับการศึกษา มีความยืดหยุ่นในตัวของสื่อได้เป็นอย่างดี ในด้านการออกแบบ สามารถสร้างสรรค์รูปแบบภาพประกอบ ตลอดจนแนวทางการออกแบบกราฟิกได้อย่างอิสระและสวยงาม เร้าใจ หรือการโน้มน้าวความรู้สึกได้เป็นอย่างดี

พัฒนาการทางการออกแบบแผ่นป้ายโฆษณาเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้ทิศทางการสร้างสรรค์มีความโดดเด่น เร้าใจได้มากยิ่งขึ้น ขอบเขตของการจัดหรือการออกแบบสร้างสรรค์ไม่มีจำกัด การวางแผนการผลิตจึงเป็นไปอย่างคล่องตัว แนวคิดใหม่ ๆ เกี่ยวกับการผลิตจึงเน้นเรื่องความแปลกตา สวยงามมากยิ่งขึ้น บางครั้งรูปแบบที่ปรากฏอาจมีเพียงภาพ คำหรือข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ลักษณะที่ท้าทายเช่นนี้เอง ทำให้ผู้ออกแบบมีความเพลิดเพลินกับการคิด และการกำหนดแบบงานใหม่ ๆ เสมอ แต่ไม่ว่าจะกำหนดให้แปลกอย่างไร หรือพลิกแพลงแบบไหน การออกแบบก็ยังคงต้องคำนึงถึงหลักพื้นฐานที่จะให้สื่อนั้นๆแสดงบทบาทออกมาอย่างเต็มที่ด้วย
                                
                              และก็คงจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมื่อได้เห็นโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน นี้แล้ว ก็ทำให้ดิฉันรู้สึกอยากที่จะไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าจะยังไม่ได้ชมตัวอย่างของภาพยนตร์เรื่องนี้มาก่อนเลยก็ตาม ส่วนหนึ่งคงอาจจะเป็นเพราะเป็นหนังที่เกี่ยวกับชีวิตของวัยรุ่น ซึ่งตรงกับวัยของดิฉันก็เป็นได้ และเอาละคะ นอกเรื่องกันมาเยอะแล้ว คราวนี้เรามาช่วยกันหาคำตอบดีกว่าว่า เพราะอะไรถึงทำให้โปสเตอร์ภาพยนตร์หนังเรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน นี้เป็นที่น่าสนใจ สามารถสะดุดตา และสะดุดใจของดิฉันได้ถึงเพียงนี้
                              
                               โดยในการออกแบบโปสเตอร์นั้น มีส่วนประกอบที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือในเรื่องของภาพ และข้อความ นอกเหนือจากการเลือกภาพ และการคิดข้อความให้น่าสนใจแล้ว การออกแบบภาพ และการกำหนดตัวอักษรก็เป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนทำให้โปสเตอร์เกิดความน่าสนใจ
                                
                            เริ่มกันที่ส่วนของภาพก่อนเลย ภาพยนตร์เรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน นี้เป็นเรื่องราวจากชีวิตจริงของเจ้าของธุรกิจสาหร่ายเถ้าแก่น้อยที่พลิกชีวิตตนเองจากเด็กติดเกมออนไลน์จนกลายมาเป็นวัยรุ่นนักธุรกิจพันล้านในวันนี้ ซึ่งองค์ประกอบของภาพโดยรวมที่สื่อออกมาในแต่ละโปสเตอร์ของหนังนั้น ก็สามารถสื่อสาร และแสดงออกมาได้ดีถึงเรื่องราวในหนัง ไม่ว่าจะในส่วนของภาพนักแสดงที่เป็นวัยรุ่นแต่กลับใส่สูทผูกไท และมีลักษณะท่าทางอยู่ในมาดของนักธุรกิจ แถมในมือยังถือทั้งเงินและสาหร่ายอยู่อีกด้วย เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผู้พบเห็นสามารถที่จะรู้ได้ถึงสาระสำคัญของภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว รวมถึงเทคนิคในการสร้างสรรค์ภาพก็ทำออกมาได้ดี สวยงามและคมชัด ในเรื่องของโครงสีในภาพ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเน้นออกไปทางสีเขียว ซึ่งเป็นสีของสาหร่าย เสียเป็นส่วนใหญ่แต่ก็มีความสมดุลสีกันในภาพไม่มากหรือน้อยจนเกินไป การกำหนดขนาดและตำแหน่งของภาพถือว่าเหมาะสม และเด่นชัด  เนื้อหาของภาพสอดคล้องกับข้อความได้เป็นอย่างดี โดยที่ภาพไม่ไปปิดทับข้อความ ทำให้ชวนน่ามอง และสร้างจุดสนใจได้ดี อีก
ทั้งภาพของตัวนักแสดงหลักวางไว้อยู่ตรงกลาง ซึ่งถือว่าเป็นบริเวณจุดศูนย์กลางของความสนใจในการมอง (Optical Center)

ในด้านของตัวอักษรและข้อความ ชื่อเรื่องของภาพยนตร์ Top Secret วัยรุ่นพันล้าน มีการออกแบบตัวอักษรได้อย่างสวยงาม แปลกตา และมีขนาดใหญ่ชัดเจน สอดคล้องกับลักษณะของข้อความ และรูปแบบของตัวอักษรยังเป็นรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนอีกด้วย ทำให้โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ด้วยเทคนิคการออกแบบ และการตกแต่งตัวอักษรที่สวยงามเช่นนี้ จึงยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้พบเห็นยิ่งอยากรู้ อยากดู อยากเห็น อีกทั้งยังมีการใช้ถ้อยคำเพื่อจูงใจให้ผู้ที่มาพบเห็นมาชมภาพยนตร์เรื่องนี้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น “ไม่มีใครเด็กเกินจะรวย” หรือ “อยากรวย อย่ารอ 20 ตุลาคม ในโรงภาพยนตร์” เป็นต้น

       

                             ทีนี้ก็รู้กันแล้วนะคะว่าเพราะอะไรกันดิฉันถึงได้ชื่นชอบการออกแบบโปสเตอร์ของภาพยนตร์เรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน เสียขนาดนี้ แต่ถ้ายังไม่ค่อยจะเข้าใจ เดี๋ยวดิฉันจะขอสรุป
ง่าย ๆ สั้น ๆ ให้ฟังกันอีกครั้งหนึ่งนะคะ โดยสรุปแล้วก็คือโปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน นี้ถือว่าเป็นโปสเตอร์ที่มีการออกแบบที่ดี ตอบสนองจุดประสงค์ในการสื่อความหมายได้อย่างเต็มที่ มีความชัดเจนในภาพลักษณ์และข้อความที่ใช้ในการสื่อความหมายก็มีความกระจ่างชัดเจนเหมาะสมกัน ส่วนในเรื่องของรูปภาพและข้อความที่นำเสนอออกมานั้น ก็มีความสอดคล้อง สัมพันธ์ และส่งเสริมซึ่งกันและกัน สามารถเข้าใจและดึงดูดความสนใจกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีความกะทัดรัด และแสดงแนวคิดหลักเพียงอย่างเดียวที่ว่า “ไม่มีใครเด็กเกินจะรวย” นั่นเอง

http://www.facebook.com/gthchannel

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

วิเคราะห์บทบาทและอิทธิพลของสื่อสิ่งพิมพ์


"วรรณกรรม" กระจกเงาสะท้อนสังคม


                         
                     ความเป็นจริงในวรรณกรรมโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นของต่างชาติหรือของไทยเองก็ตาม อย่างหนึ่งที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ วรรณกรรมเป็นกระจกเงาที่สะท้อนภาพทางสังคม และวัฒนธรรม ตลอดจนคุณค่าต่างๆของคนในสังคมแต่ละยุคสมัย ความเป็นไปทางการเมือง ความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจ ระดับการศึกษา สิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาให้เราได้เห็นจากคนอ่านและคนเขียน และวรรณกรรมยังเป็นสัญลักษณ์ที่บอกให้เราเห็นความจริงจังของคนในชาติ หรือความฟุ้งเฟ้อของกลุ่มคนในสังคม ซึ่งก็แล้วแต่ว่ากลุ่มคนสังคมใดจะใช้กระจกเงาบานไหนออกมาฉาย   ดังนั้นท่าทีและแนวโน้มของวรรณกรรมต่างๆไม่ว่าจะเป็นของไทยหรือต่างชาติ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหนย่อมมีอิทธิพลเกี่ยวข้องกัน และขึ้นอยู่กับผู้ที่สร้างสรรค์ผลงานทางวรรณกรรมว่าจะทำวรรณกรรมให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม หรือเหยียบย่ำสังคมให้ต่ำทรามลง 
                      วรรณกรรมเป็นผลงานของมนุษย์ ดังนั้นจึงเป็นที่เก็บรวบรวมความคิด ความเป็นอยู่ และลักษณะสภาพต่างๆของมนุษย์ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไว้ด้วยกัน สังคมของผู้แต่งหนังสือมีธรรมชาติอย่างไร วรรณกรรมก็มีธรรมชาติอย่างนั้น สังคมนั้นเปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการไปตามเหตุการณ์อย่างไร วรรณกรรมก็บอกถึงเหตุการณ์นั้น เช่น เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ มีผลทำให้มนุษย์ในแต่ละสังคมประพฤติปฏิบัติตนต่างกัน หรือบางครั้งก็ออกมาในรูปเดียวกัน บางครั้งก็ขัดแย้งกัน บางครั้งก็กลมกลืนกัน ผู้แต่งหนังสือที่ช่างสังเกตก็จะเลือกหาเหตุการณ์เรื่องราวจากความเป็นไปในสังคมมาผูกเป็นเรื่องขึ้น โดยตั้งจุดประสงค์ไว้ต่างๆกัน บางคนผูกเรื่องขึ้นเพื่อรายงานเหตุการณ์แต่เพียงอย่างเดียว บางคนก็ชี้ให้เห็นลักษณะที่ขัดแย้งต่างๆเพื่อเตือนสติคนในสังคม

                    วรรณกรรมเป็นภาพสะท้อนของสังคม ซึ่งการสะท้อนสังคมของวรรณกรรมไม่ใช่เป็นการสะท้อนอย่างบันทึกเหตุการณ์เหมือนเอกสารประวัติศาสตร์ แต่เป็นภาพสะท้อนประสบการณ์ของผู้เขียนและเหตุการณ์หนึ่งของสังคม วรรณกรรมจึงมีความเป็นจริงทางสังคมสอดแทรกอยู่ นักเขียนบางคนมีความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นอย่างมาก เขาจะสะท้อนความต้องการที่จะปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น วรรณกรรมของเขาชี้ให้เห็นสิ่งที่เรียกว่าอุดมการณ์ ซึ่งอาจจะเป็นอุดมการณ์ทางสังคมหรืออุดมการณ์ทางการเมืองก็ได้
 
                  ดังนั้นอิทธิพลของวรรณกรรมต่อสังคม อาจเป็นได้ทั้งในด้านอิทธิพลภายนอก เช่น การแต่งกาย หรือการกระทำตามอย่างวรรณกรรม เช่น หญิงไทยสมัยหนึ่งนิยมถักหางเปีย นุ่งกางเกงขาสั้นเหมือน " พจมาน " ในเรื่องบ้านทรายทอง หรือย้อมผมสีแดงเหมือน " จอย " ในเรื่องสลักจิต เป็นต้น และอิทธิพลทางความคิด การสร้างค่านิยม รวมทั้งความรู้สึกนึกคิด ดังเช่น หนังสือเรื่อง " The Social Contract " ของจัง จาคส์
รุสโซ ( Jean Jacques Rousseau ) พิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1762 เป็นหนังสือที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยให้แนวคิดเกี่ยวกับทฤษฏีทางรัฐศาสตร์ที่สำคัญ เรียกว่า 
" เจตนารมณ์ทั่วไป ( General Will ) " เน้นเรื่องเสรีภาพและสิทธิของมนุษยชาติ ก็คืออำนาจอธิปไตยนั่นเอง ซึ่งถือเป็นหลักการที่สำคัญยิ่งของการปกครองระบอบประชาธิปไตย อิทธิพลของหนังสือเล่มนี้มีส่วนก่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการเรียกร้องอิสรภาพของสหรัฐอเมริกาใน ค.ศ. 1776 และการปฏิวัติในฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 - 1792 และอิทธิพลของหนังสือเล่มนี้ก็ยังคงมีอยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ดังจะเห็นได้จากแนวคิดเรื่องทฤษฏีสัญญาประชาคม ( Social Contract Theory ) ซึ่งมีนักวิชาการได้นำมาอ้างอิงอยู่เสมอ หลังจากนั้นก็มีวรรณกรรมอีกหลายเล่ม ได้อิทธิพลและสนับสนุนการปกครองตามแนวคิดของรุสโซ เช่น จอห์น สจ๊วต มิลล์ ( John Stuart Mill ) นักเศรษฐศาสตร์และนักคิดชาวอังกฤษ ได้เขียนหนังสือ เรื่อง o­n Liberty โดยเน้นว่ารัฐบาลที่ดีต้องให้เสรีภาพแก่ประชาชน



                  ตัวอย่างวรรณกรรมไทยที่มีอิทธิพลต่อสังคมไทยของเราอย่างมากในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ วรรณกรรมเรื่อง สี่แผ่นดินของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเนื้อหาสาระของวรรณกรรมเรื่อง "สี่แผ่นดิน" นี้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงอุดมการณ์กษัตริยนิยมที่ต้องการชี้ให้ผู้อ่านเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นมีคุณค่าและคุณูปการต่อสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือแม้กระทั่งหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองไปแล้วก็ตาม สี่แผ่นดินดูจะช่วยเสริมแรงให้กับฝ่ายกษัตริยนิยมที่พยายามช่วงชิงอำนาจกับรัฐบาล และยังมีส่วนในการปูพื้นฐานทางวาทกรรมให้กับผู้มีอำนาจในยุคต่อมา ซึ่งเป็นการฟื้นฟูบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมาใหม่จนกลายเป็นสถาบันที่ทรงอิทธิพลต่อการเมืองและสังคมไทยมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังได้มีการนำวรรณกรรมเรื่อง "สี่แผ่นดิน" นี้มาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ ละครเวที ในหลากหลายรูปแบบตามแต่ยุคสมัยมาโดยตลอด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นถึงความรัก และความหวงแหนของประชาชนชาวไทยทุกคนที่มีแต่ความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ของเราเสมอมา และยังเป็นการปลูกฝังให้คนรุ่นหลังอย่างเรานั้นได้รู้ซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ของเราทุกๆพระองค์ ที่ได้ทรงปกปักรักษาประเทศชาติบ้านเมืองมาเพื่อพสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอด ทำให้ประเทศไทยของเรามีเอกราชเป็นของตนเอง ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศใด ดำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นศูนย์รวมยึดเหนี่ยวจิตใจของคนทั้งชาติสืบไป และถึงแม้ว่าเหตุการณ์ทางการเมืองบางเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เพิ่มทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นนี้อาจจะมีส่วนทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของเรานั้นสั่นคลอน แต่เราก็เชื่อว่าพลังเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ของปวงชนชาวไทยอย่างเรานั้นจะสามารถปกป้อง และคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราให้ดำรงอยู่คู่ฟ้าเมืองไทยของเราไปได้ตลอดกาลตราบนานเท่านาน
                             ซึ่งจากที่ได้กล่าวมาในข้างต้นทั้งหมดนี้ก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าวรรณกรรมนั้นมีอิทธิพลและผลกระทบต่อสังคมของเราอย่างมากมายเพียงใด วรรณกรรมสามารถเปลี่ยนแนวความคิด และอุดมการณ์ของเราได้อย่างสิ้นเชิงด้วยค่านิยมต่างๆที่มีอิทธิพลต่อสังคมของเรา อีกทั้งยังสามารถสร้างพลังอันแข็งแกร่งให้กับเราได้ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ทางความคิดของตนเองให้เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปในสังคมได้อีกด้วย  ดังนั้นการอ่านวรรณกรรมจึงอาจเป็นเหมือนกับดาบสองคม หากเราปล่อยให้อิทธิพลของวรรณกรรมเข้ามามีส่วนครอบงำความคิด และจิตใจของเรามากจนเกินไป เราอาจไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นที่เขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเราด้วยก็เป็นได้  และสิ่งนั้นนั่นแหละอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเองในที่สุด เพราะฉะนั้นวรรณกรรมจะส่งผลที่ดีต่อสังคมได้ก็ต่อเมื่อคนในสังคมรู้จักที่จะนำเอาเรื่องราวและความคิดที่ดีๆที่แฝงอยู่ในวรรณกรรมนั้นๆมาปรับปรุงและประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์กับสังคมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สังคมของเราอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขตลอดไป สรุปแล้วคืออิทธิพลของวรรณกรรมส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม ตลอดจนประเทศชาติ และโลกของเราอีกด้วย วรรณกรรมจึงผูกพันกับสังคมอย่างแนบแน่น และมีบทบาทที่สำคัญในการชี้นำแนวทางให้กับคนในสังคมตลอดมา

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

"สื่อสิ่งพิมพ์ที่ชื่นชอบ"


                                                
                                                สื่อสิ่งพิมพ์ที่ดิฉันชื่นชอบ อันที่จริงก็มีอยู่หลากรูปแบบหลายประเภทด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์เอย  นิตยสารเอย นิยายเอย หรือแม้กระทั่งหนังสือการ์ตูนเองดิฉันก็สามารถอ่านได้หมด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา และความต้องการในการอ่านของตัวเองด้วย ว่าช่วงไหนอยากอ่านหนังสือประเภทใด ซึ่งก็ไม่เจาะจงรูปแบบตายตัวมากนัก แต่จริงๆแล้วส่วนใหญ่จะชอบอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีภาพประกอบด้วยมากกว่าสื่อสิ่งพิมพ์ที่มีแต่ข้อความ เพราะภาพต่างๆนั้นมันจะสามารถสื่อสารความหมายผ่านทางสายตาของผู้อ่านได้อย่างรวดเร็ว ชัดเจน และจูงความสนใจของผู้อ่านได้มากกว่าข้อความที่มีจำนวนมากทำให้ตาลายเวลาอ่านไปนานๆอีกด้วย รวมถึงภาพประกอบเหล่านี้ยังเป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสพักสายตาจากการอ่านตัวหนังสือมากๆได้อีกด้วย ทำให้ผู้อ่านเกิดความเพลิดเพลินใจในการอ่านมากขึ้น และเข้าใจเรื่องที่อ่านได้อย่างง่ายดายผ่านภาพประกอบเหล่านั้น
                                                จากที่ดิฉันได้บอกไปในข้างต้นแล้วว่าดิฉันสามารถที่จะอ่านสื่อสิ่งพิมพ์ได้แทบทุกประเภทหรือทุกแนวเลยก็ว่าได้ แต่สื่อสิ่งพิมพ์ที่ดิฉันชื่นชอบมากกว่าประเภทอื่นๆเลยนั้นก็คือ สื่อสิ่งพิมพ์ประเภทนิตยสาร นั่นเอง เหตุผลง่ายๆก็คือ นิตยสารเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ให้ความรู้ และมีสารประโยชน์ต่างๆมากมายที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้เป็นอย่างดี อีกทั้งข้อความ และภาพประกอบที่อยู่ในนิตยสารนั้นก็มีการจัดวางที่ได้สัดส่วน และมีความสมดุลกันเป็นอย่างดี ทำให้อ่านง่ายและสบายตา

                                                 
                                                เกริ่นเล่ามาซะตั้งนานคงอยากจะรู้กันแล้วสิคะว่าแล้วตกลงนิตยสารที่ดิฉันชื่นชอบนั้นจะเป็นนิตยสารเล่มไหนและมีรูปแบบอย่างไรกันแน่ เอาละคะไม่ต้องสงสัยกันอีกต่อไปเพราะเดี๋ยวดิฉันจะเป็นคนเฉลยแจ้งแถลงไขข้อข้องใจให้เองเดี๋ยวนี้แหละนะคะ สำหรับนิตยสารที่ดิฉันชื่นชอบมากเป็นพิเศษ และอ่านอยู่เป็นประจำเลย อันที่จริงก็ ได้แก่ นิตยสาร “ Lisa ” นั่นเองคะ ซึ่ง Lisa นี้ก็เป็นนิตยสารสำหรับผู้หญิงเล่มหนึ่งที่ให้ข้อมูลความรู้ต่างๆมากมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้หญิงเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของแฟชั่น เสื้อผ้า หน้า ผม ความสวยความงาม สุขภาพ อาหารการกิน เคล็ดลับความงามต่างๆ ข่าวสารดาราทั้งไทยและต่างประเทศ ภาพยนตร์ เพลง ดูดวง รวมไปถึงในด้านของอาชีพการงาน และความรัก Lisa เขาก็ยังสามารถนำเสนอข้อมูลความรู้ในเรื่องนั้นๆออกมาให้กับผู้อ่านได้เป็นอย่างดีเยี่ยม และยังให้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันทันสมัย ในบางคอลัมน์นั้นยังสามารถเข้าถึงผู้อ่านได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ใช่เพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้น และการนำเสนอข้อมูลในแต่ละคอลัมน์ของ Lisa นั้น เขาจะมีภาพประกอบเข้ามาช่วยเสริมไปพร้อมกับข้อความด้วยเสมอ ทำให้ผู้อ่านสามารถมองภาพ และเข้าใจตามไปกับเรื่องที่อ่านอยู่ได้อย่างง่าย และชัดเจนมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ขั้นตอนในการแต่งหน้า หรือทำผม เป็นต้น หากไม่มีภาพประกอบ ผู้อ่านอาจจะเข้าใจได้ยาก และไม่สามารถทำตามได้อย่างถูกต้อง จึงจำเป็นต้องใส่รูปลงไปประกอบด้วย เพื่อช่วยเพิ่มความกระจ่างชัดเจนให้กับผู้อ่าน ซึ่งข้อมูลในนิตยสารเล่มนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์กับผู้อ่านทุกคนทั้งสิ้นไม่มากก็น้อย อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีเยี่ยม รวมไปถึงขนาดก็กะทัดรัดพอดีมือ พิมพ์สีทั้งเล่ม และราคาที่ย่อมเยาเป็นกันเอง อาจทำให้เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าหากนิตยสาร Lisa นี้ได้ไปอยู่ในมือของผู้ใด รับรองได้เลยว่าไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน และนอกจากจะไม่ขาดทุนแล้วแถมยังได้กำไรกลับมามากมายเป็นเท่าตัวจากความรู้ที่ท่วมท้นเต็มไปหมดในทุกส่วนของนิตยสาร Lisa เล่มนี้อีกด้วย

 
                                                 
                                       สุดท้ายนี้ดิฉันก็อยากจะขอฝากข้อคิดอะไรดีๆไว้หน่อยสักเล็กน้อยว่า สื่อสิ่งพิมพ์ทุกชนิดทุกประเภทนั้นล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อผู้อ่านทุกคนทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของสื่อสิ่งพิมพ์นั้นๆ ว่าต้องการสื่อสารอะไร เพื่อใคร และเมื่อผู้อ่านได้รับสื่อนั้นๆแล้ว จะสามารถรับรู้และเข้าใจความหมายของสื่อสิ่งพิมพ์นั้นได้มากหรือน้อยก็ตาม นั่นก็เป็นประโยชน์ต่อตัวของผู้อ่านเองทั้งสิ้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปลูกฝังให้พวกเราทุกคนรู้จักที่จะรักการอ่านกันให้มากขึ้น ยิ่งเราอ่านมาก ก็ตัวของเราเองนี่แหละ จะได้รับความรู้และประโยชน์ต่างๆมากมายกลับคืนมาเป็นเท่าตัว